ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มพบผู้ป่วยโรคงูสวัดในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ข้อมูลทั่วโลกพบว่าโรคนี้เกิดขึ้นประมาณ 3 – 5 คนต่อประชากร 1,000 คนต่อปี และในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ตัวเลขนี้อาจเพิ่มเป็น 7–12 คนต่อ 1,000 คนต่อปี นอกจากนี้ พบว่าผู้หญิงมีโอกาสเป็นงูสวัดมากกว่าผู้ชาย
งูสวัด (Shingles) หรือในชื่อทางการแพทย์ว่า Herpes Zoster เป็นโรคที่เกิดจากไวรัส ชื่อ Varicella-Zoster ซึ่งเป็นไวรัสตัวเดียวกับที่ทำให้เราเป็นโรคอีสุกอีใสในวัยเด็ก แม้ว่าอีสุกอีใสจะหายแล้ว แต่ไวรัสนี้ยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย โดยไปซ่อนอยู่ในปมประสาท และเมื่อร่างกายอ่อนแอหรือภูมิคุ้มกันลดลง ไวรัสก็อาจกลับมาก่อโรคอีกครั้งในรูปแบบของ “งูสวัด”
อาการ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของโรคงูสวัด ควรสังเกตและรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการดูแลที่เหมาะสม
- ปวดแสบปวดร้อนก่อนผื่นขึ้น เริ่มต้นด้วยอาการปวดแสบ เสียวแปลบ หรือปวดลึกบริเวณผิวหนัง โดยมักเกิดขึ้นตามแนวเส้นประสาท และเกิดก่อนที่จะเห็นผื่นหรือตุ่มน้ำ
- มีผื่นหรือตุ่มน้ำใสเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย ตุ่มน้ำใสจะขึ้นเรียงตัวตามแนวเส้นประสาท เช่น บริเวณลำตัวหรือใบหน้า มักเกิดแค่ซีกใดซีกหนึ่ง ไม่ลามทั้งสองข้าง
- อาการปวดยังคงอยู่ แม้ผื่นจะหายแล้ว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ อาการปวดหลังผื่นหายอาจอยู่ได้นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน เรียกว่า“ภาวะปวดประสาทหลังแผลหาย”
- ควรรีบพบแพทย์เมื่อสงสัยว่าเป็น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หากเริ่มมีอาการคล้ายงูสวัด ควรเข้ารับ การตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเริ่มการรักษาและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
ประเภทผู้ป่วยที่มักพบ
- ผู้มีอายุมากกว่า 50 ปี
- ผู้ที่มีภาวะร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำลง เช่น ติดเชื้อเอชไอวี ได้รับยากดภูมิคุ้มกันหรือยาสเตียรอยด์ขนาดสูงอย่างต่อเนื่อง
- ผู้ที่เคยเป็นโรคงูสวัด มีโอกาสเป็นงูสวัดซ้ำประมาณร้อยละ 6.2
วิธีป้องกันโดยการฉีดวัคซีน
- วัคซีนชนิดทำจากโปรตีนของเชื้อ (Recombinant zoster vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายที่ ไม่มีไวรัสมีชีวิตอยู่ในวัคซีนเลย แต่ใช้โปรตีนจากไวรัสเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาแทน จึงถือว่าปลอดภัยมากกว่า และสามารถใช้ได้แม้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ วัคซีนชนิดนี้มีประสิทธิภาพสูงและเป็นที่แนะนำในปัจจุบัน โดยการฉีดวัคซีน 1 เข็มเข้ากล้าม 2 ครั้ง ห่างกัน 2-6 เดือน แนะนำให้ฉีดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป พบว่าการฉีดวัคซีนสามารถลดการเกิดโรคงูสวัดได้ร้อยละ 91-97 และผู้อายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง วัคซีนสามารถลดการเกิดโรคงูสวัดได้ร้อยละ 68-90
2.วัคซีนชนิดทำจากเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (Live attenuated zoster vaccine) เป็นวัคซีนที่ใช้
เชื้อไวรัสงูสวัดซึ่งยังมีชีวิตอยู่ แต่ผ่านการทำให้อ่อนฤทธิ์ลง จนไม่สามารถก่อโรคในคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติได้ วัคซีนชนิดนี้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ที่รับยากดภูมิหรือผู้ป่วยเรื้อรังบางกลุ่ม โดยการฉีดวัคซีน 1 เข็มเข้าใต้ผิวหนัง แนะนำให้ฉีดในผู้ที่มีอายุใกกว่า 60 ปีขึ้นไป
วัคซีนงูสวัด ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
โรคงูสวัดอาจดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ไม่น้อย โดยเฉพาะอาการปวดหลังแผลหายที่อาจอยู่กับเราได้นาน การป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ หากสนใจรับวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด หรืออยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่
คลินิกเสริมภูมิคุ้มกันและอายุรศาสตร์การท่องเที่ยว สถานเสาวภา สภากาชาดไทย
📞 โทร. 02-252-0161 ถึง 4 ต่อ 82731
🌐 เว็บไซต์: www.saovabha.org
สุขภาพดีเริ่มต้นที่การดูแลตัวเองค่ะ
ที่มา: คู่มือ วัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย