เจนีวา/นิวยอร์ค- กลุ่มองค์กรกาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศร่วมยินดีที่ในวันนี้สนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์หรือ the Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons (TPNW) เริ่มมีผลบังคับใช้ โดยสนธิสัญญาตัวนี้จะห้ามการใช้ ข่มขู่ พัฒนา ผลิต ทดลองและสะสมอาวุธนิวเคลียร์ และ ยังกำหนดให้ชาติสมาชิกที่ร่วมลงนามไม่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือ โน้มน้าวใครก็ตามไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดในการเกี่ยวข้องกับกิจกรรมตามที่ระบุห้ามไว้ในสนธิสัญญา
“วันนี้ถือเป็นชัยชนะของมนุษยชาติ สนธิสัญญานี้เป็นผลจากการดำเนินการมากว่า 75 ปี และกำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ในปัจจุบันนี้ อาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ทั้งทางด้านศีลธรรม ด้านมนุษยธรรม และด้านกฎหมาย สนธิสัญญาจะทำให้หัวรบนิวเคลียร์มีอุปสรรคทางกฎหมายและมีการตีตรามากขึ้นกว่าเดิม สนธิสัญญานี้จะช่วยให้เราจินตนาการถึงโลกที่ปราศจากอาวุธอันไร้ซึ่งมนุษยธรรมเหล่านี้ว่าเป็นเป้าหมายที่เราทำให้เกิดขึ้นได้จริง” ปีเตอร์ เมาเรอร์ ประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) กล่าว
ปัจจุบันมี 51 ประเทศทั่วโลกที่ร่วมลงนามและให้สัตยาบันในสนธิสัญญาฉบับนี้ขณะที่อีก 35 ประเทศร่วมลงชื่อแต่ยังไม่ให้การรับรองสัตยาบัน ซึ่งกลุ่มองค์กรกาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศประสงค์ให้บรรดาผู้นำทั่วโลกรวมถึงประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองร่วมลงนามในสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวอันจะนำไปสู่หนทางในการทำให้โลกของเราปราศจากอาวุธร้ายแรงอย่างนิวเคลียร์
“การมีผลบังคับใช้ของตราสารกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศนี้เป็นการย้ำเตือนที่น่ายินดีและทรงพลังว่า ถึงแม้เราจะกำลังเผชิญกับภาวะความกังวลทั่วโลกในปัจจุบันก็ตาม แต่นโยบายการตกลงร่วมกันจากหลายฝ่ายจะช่วยให้เราก้าวผ่านปัญหาความท้าทายที่มีขนาดใหญ่และฝังรากลึกเหล่านี้ได้ ซึ่งเราควรใช้สมรรถภาพในการรวมตัวและประสานงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในห้วงเวลาที่เราเผชิญกับปัญหาความท้าทายอื่น ๆ ที่มีความร้ายแรงและเกิดขึ้นทั่วโลก” นายฟรานเซสโก รอคคา ประธานสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยวงวงเดือนแดงระหว่างประเทศกล่าวเพิ่มเติม
สนธิสัญญาฉบับนี้บกำหนดให้ชาติสมาชิกต้องให้ความช่วยเหลือทั้งด้านการแพทย์ การฟื้นฟู การสนับสนุนด้านจิตวิทยารวมทั้งความช่วยเหลือทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมแก่เหยื่อโดยไม่เลือกปฏิบัติ อีกทั้งยังต้องทำลายพื้นที่ที่ปนเปื้อนการใช้หรือทดลองอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย