สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินสภากาชาดไทย ประจำปี 2568 ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี
วันที่ 14 ตุลาคม 2568 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินสภากาชาดไทย ประจำปี 2568 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เลขาธิการสภากาชาดไทย เหรัญญิกสภากาชาดไทย และคณะกรรมการสภากาชาดไทย รับเสด็จ
จากนั้น เสด็จเข้าภายในศาลาการเปรียญวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี ทรงประกอบพิธีถวายผ้าพระกฐินสภากาชาดไทย พระราชทานพระราชวโรกาสให้ เหรัญญิกสภากาชาดไทย เฝ้าทูลละอองพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายหนังสือที่ระลึก เลขาธิการสภากาชาดไทย กราบบังคมทูลรายงานและเบิกผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลในการถวายผ้าพระกฐินเข้ารับพระราชทานของที่ระลึก จำนวน 115 ราย จากนั้นเสด็จไปทรงปลูกต้นอินทนิล จำนวน 1 ต้น และเสด็จพระราชดำเนินกลับ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี ตั้งอยู่ใน ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองสุพรรณบุรี บริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี เดิมในสมัยก่อนเป็นศูนย์กลางของเมืองสุพรรณภูมิ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง สันนิษฐานว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 600 ปี ปรางค์องค์ประธานเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2456 ชาวบ้านลักลอบขุดค้นหาทรัพย์สินจนทรุดโทรมไปมากมีพระพิมพ์ผงสุพรรณบุรีที่โด่งดังมาก อันเป็นหนึ่งใน “เบญจภาคี” ก็ได้ไปจากกรุในองค์พระปรางค์นี้ และพระเครื่องที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากพระผงสุพรรณ เช่น พระกำแพงศอก พระมเหศวร พระสุพรรณยอดโถ พระสุพรรณหลังผาน ตลอดจนพระเนื้อชิ้นต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันหายาก นักโบราณคดีหลายท่านให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นศิลปะการก่อสร้าง ในสมัยอู่ทองสุพรรณภูมิ เพราะหลักฐานการก่อสร้างเป็นการก่ออิฐไม่ถือปูน ซึ่งเป็นวิธีการเก่าแก่ก่อนสมัยอยุธยา เดิมเป็นวัดสำคัญของเมืองโบราณสุพรรณบุรีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ก่อนถูกทิ้งร้างไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อคราวสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เมื่อสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พุทธศักราช 2310 จากนั้นจึงมีการบูรณปฎิสังขรณ์ใหม่อีกครั้งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ประวัติการสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี ปรากฏในจารึกบนแผ่นลานทองที่พบจากกรุพระปรางค์ และยอดนภศูล เมื่อพุทธศักราช 2456 ข้อความในจารึกระบุถึงการสร้างพระสถูป (องค์พระปรางค์) ของพระมหากษัตริย์และการปฎิสังขรณ์ โดยพระราชโอรสในสมัยต่อมา ซึ่งนักวิชาการมีความเห็นว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงสร้าง อาจหมายถึงสมเด็จพระนครินทราธิราช หรืออาจหมายถึงสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา)
จึงนำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี สถาปนาขึ้นช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ระหว่างรัชกาลใดรัชกาลหนึ่ง แผนผังสถาปัตยกรรม ประกอบไปด้วย เจดีย์ทรงปรางค์เป็นประธานของวัด ด้านข้างมีปีกปรางค์หรือปรางค์ขนาดเล็กขนาบปรางค์ประธานทั้งสองข้าง ทำระเบียงคตล้อมอยู่โดยรอบ ด้านนอกระเบียงคตมีวิหารหลวงอยู่ด้านหน้าทางทิศตะวันออก และอุโบสถอยู่ด้านหลังทางทิศตะวันตก โดยสร้างอยู่แนวเดียวกับปรางค์ประธานตามความนิยมในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น นอกระเบียงคตยังมีวิหารรายและเจดีย์รายอีกหลายองค์รายล้อมอยู่โดยรอบ
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 8 มีนาคม 2478 หลังจากนั้นได้มีการดำเนินงานขุดศึกษาโบราณคดี และบูรณะโบราณสถานบางส่วนเป็นระยะ และปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์จนแล้วเสร็จ เมื่อพุทธศักราช 2562 ปัจจุบันมีพระครูศรีรัตนวิภูษิต (พระมหาวิเชียร กลฺยาโณ) เป็นเจ้าอาวาส มีพระภิกษุจำพรรษา จำนวน 6 รูป
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี ยังขาดแคลนงบประมาณในการสร้าง สร้างหอสวดมนต์ เมื่อครั้งเหตุการณ์พลุระเบิดที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2555 เกิดเพลิงไหม้กุฏิพระสงฆ์และหอสวดมนต์ได้รับความเสียหาย ปัจจุบันกุฏิพระสงฆ์ได้สร้างทดแทนขึ้นใหม่แล้ว ขาดแต่อาคารหอสวดมนต์ที่อยู่ระหว่างการจัดสร้างยังไม่แล้วเสร็จ