หลายคนอาจมองว่า “จูบ” เป็นการแสดงความรัก ความใกล้ชิด หรือความผูกพันระหว่างคนสองคน แต่รู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังความโรแมนติกนี้ อาจแฝงด้วยภัยเงียบที่ไม่ทันระวัง หนึ่งในโรคที่สามารถติดต่อผ่านการจูบได้คือ โรคจูบ (Kissing Disease) หรือชื่อทางการว่า โรคโมโนนิวคลิโอซิส (Infectious Mononucleosis: IM) โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส เอปสไตน์-บาร์ (Epstein-Barr Virus: EBV) ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านสารคัดหลั่ง โดยเฉพาะ น้ำลาย การติดต่อมักเกิดจากการจูบ การไอ จาม หรือแม้แต่การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ แม้โรคจูบจะสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะคือ เด็กเล็ก เช่น ในกรณีที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่หอมแก้มเด็ก เด็กอาจได้รับเชื้อโดยไม่รู้ตัว จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจและระมัดระวัง เพราะแม้จะเป็นเพียงพฤติกรรมเล็กๆ แต่ก็อาจนำไปสู่การติดเชื้อที่ไม่คาดคิดได้
อาการของการติดเชื้อจากโรคจูบ มักจะคล้ายกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ในระยะแรก โดยอาการหลัก ๆ มีดังนี้
- ไข้สูง โดยเฉพาะในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
- เจ็บคอ อาจคล้ายกับการติดเชื้อคออักเสบจากแบคทีเรีย (เช่น ทอนซิลอักเสบ)
- ต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายเป็นอาการเด่นที่มักอยู่ได้นานหลายสัปดาห์ถึงเป็นเดือน
- ปวดเมื่อยตามตัว
- มีผื่นขึ้น พบได้ในบางราย โดยเฉพาะหากผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะบางชนิด
- ตับหรือม้ามโต ในบางรายแพทย์อาจตรวจพบม้ามหรือตับโต ซึ่งต้องระวังภาวะแทรกซ้อน
ข้อควรระวัง
- อาการอาจไม่แสดงออกทันที โดยระยะฟักตัวของโรคอยู่ที่ประมาณ 4–6 สัปดาห์
- แม้จะหายจากอาการแล้ว แต่ไวรัส EBV ยังสามารถหลบซ่อนในร่างกายได้ และมีโอกาสแพร่เชื้อได้ แม้ไม่มีอาการ