
เหตุการณ์การฆ่าตัวตายของนิสิตและนักศึกษาหลายรายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อให้เกิดกระแสตื่นตัวเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและปัญหาการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นในสังคมไทย โดยอาการเศร้าเป็นอารมณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นได้สำหรับมนุษย์ แต่กระบวนการฟื้นฟูจากอาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หลายคนเมื่อเศร้าแล้วกลับมาสู่สภาพเดิมได้ แต่หลายคนมีอาการซึมเศร้าหนักขึ้น และกลายเป็นโรคซึมเศร้าตามมา
มีงานวิจัยที่ชี้ว่าอาการซึมเศร้าจะถูกกระตุ้นจากอาการเสียศูนย์จากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การถูกประเมิน คะแนนสอบ เมื่อผิดหวังไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็จะเสียศูนย์ หรือแม้แต่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ความรัก ความสัมพันธ์ และความรู้สึกผิด ก็ล้วนมีผลเช่นกัน แม้แต่คนที่เกิดอาการเสียศูนย์อย่างฉับพลันก็ไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีวิธีรับมือต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่อยู่ภายในตัวว่าจะทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นร้ายแรงแค่ไหน เนื่องจากคนแต่คนมีประสบการณ์ชีวิตต่างกัน มีรูปแบบความคิดต่างกัน มองโลกไม่เหมือนกัน และเป็นเหตุให้การแสดงออกของแต่ละบุคคลต่างกันไปด้วย บุคคลที่มีอาการซึมเศร้าอาจมีพฤติกรรมบางประการที่ต้องการความช่วยเหลือและการสนับสนุน ดังนั้น ปัจจัยแวดล้อม เช่น ครู เพื่อน ครอบครัว จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นที่พึ่งพิง
จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้าในนักศึกษาพบว่า นักศึกษาที่เรียนชั้นปีสูง ยิ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า และมีมากกว่าร้อยละ 6.4 ที่ฆ่าตัวตาย ชีวิตของนักศึกษากว่า 50 เปอร์เซ็นต์เกี่ยวข้องกับการเรียนหนังสือ ดังนั้น ครู อาจารย์จึงมีบทบาทสูงมากในความชอบหรือไม่ชอบในการเรียน ขณะเดียวกันคนที่นักศึกษาขอรับความช่วยเหลือเป็นคนแรก คือ เพื่อน ส่วนสาเหตุของการฆ่าตัวตายมาจากปัญหาการทะเลาะกับคนใกล้ชิด รวมถึงปัญหาจากการเรียนหนังสือ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การสอบได้คะแนนไม่ตรงตามความคาดหวัง คือตัวแปรที่ทำให้เด็กอาจเกิดการเสียศูนย์ เด็กที่สอบได้คะแนนดีมาตลอด แต่เมื่อได้คะแนนลดลงอาจเกิดอาการไม่คาดคิด จนเกิดเป็นความเศร้า ขณะเดียวกันเด็กที่สอบได้คะแนนไม่ดีมาตลอด ก็เห็นคุณค่าตัวเองน้อย ดังนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กแต่ละคนจึงต้องมีความหลากหลาย
โรคซึมเศร้ามีสเปกตรัม คือ ความรุนแรงของโรค ตั้งแต่ในระดับที่น้อยไปจนถึงระดับที่มาก จนต้องเข้ารับการรักษา ปัจจุบันพบว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่มาพบแพทย์มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันโรคซึมเศร้าก็ยังถูกมองว่าเป็นโรคจิต ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าไม่ต้องการไปพบแพทย์ และไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้า
ผู้ที่มีอาการซึมเศร้าจะมองโลกให้แง่ลบ มองในแง่เลวร้าย และสามารถนำไปสู่ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย การรักษาจำเป็นต้องอาศัยการปรับวิธีคิด และการสร้างเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ให้กับผู้ป่วยผ่านวิธีต่าง ๆ พร้อมทั้งการสร้างแนวทางให้กลับไปใช้ชีวิตได้ดังเดิม ในทางการแพทย์ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีภาวะที่เรียกว่าภาวะสิ้นยินดี คือไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้สึกสนุกอะไรเลย กินไม่ได้ น้ำหนักลด นอนไม่หลับ เบลอ แต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกัน หนักเบาต่างกัน วิธีการรักษาก็จะต่างกัน โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่มีภาระโรคสูงสุดจากการตายก่อนวัยอันควรด้วยการฆ่าตัวตาย แต่ทุกวันนี้ยังถือว่าเป็นโรคที่จับต้องไม่ได้เพราะเป็นโรคน่าอาย
ปัจจุบันกรมสุขภาพจิตทำเครื่องมืดคัดกรองและระบบพัฒนาเฝ้าระวังโรคซึมเศร้ามาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ในระดับวัยรุ่นยังไม่ถูกให้ความสำคัญเท่าที่ควร เพราะไม่ถูกให้น้ำหนักเท่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ขณะเดียวกันการแสดงออกของวัยรุ่นที่เป็นโรคซึมเศร้า ยังคงถูกมองว่าเป็นปัญหาพฤติกรรม ทำตัวเกเรมากกว่าที่จะถูกมองว่าเป็นโรค การนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายของนักศึกษาในสื่อที่มีการผลิตซ้ำและอธิบายถึงวิธีการกระทำ ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์เลียนแบบและทำให้อัตราการฆ่าตัวตายสูงตาม ในทางกลับกันหากมีการนำเสนอในสื่อเมื่อมีข่าวคนฆ่าตัวตายถึงวิธีการแก้ไขปัญหาและการรับมือกับโรคซึมเศร้า พบว่าการฆ่าตัวตายของประชาชนจะลดลง
การป้องกันการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นมี 4 แนวทาง 1. การสร้างทักษะชีวิต วัยรุ่นต้องมองโลกตามความเป็นจริง จัดการอารมณ์และสังคมได้อย่างเหมาะสม 2. ไม่ผลิตข่าวซ้ำ 3. จำกัดวิธี เช่น มีคนไปเฝ้าสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และ 4. มีระบบเฝ้าระวัง เป็นโจทย์ของโรงเรียนและสถานศึกษาในการหาวิธี
ที่มา : www.chula.ac.th