U = U คืออะไร
U = U หรือ Undetectable = Untransmittable เป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ได้จากการศึกษาวิจัย 3 โครงการใหญ่ ซึ่งร่วมกันทำในหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย เป็นการศึกษาที่วางแผนและดำเนินการอย่างรัดกุม มีการตรวจสอบจากหลายฝ่ายเพื่อให้ข้อมูลน่าเชื่อถือที่สุด ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่แล้วในวารสารการแพทย์ระดับชั้นนำ การศึกษาวิจัยดังกล่าว เป็นการติดตามพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของคู่ผลเลือดต่าง (ฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเอชไอวี อีกฝ่ายไม่ติดเชื้อเอชไอวี) ใน 2 กรณี คือ คู่ชายกับชาย และคู่ชายกับหญิง โดยฝ่ายที่ติดเชื้อเอชไอวีทั้ง 2 กรณี ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส จนมีปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดต่ำมาก คือ ต่ำกว่า 200 copies ต่อซีซีของเลือด หรือที่เรียกว่า “ตรวจไม่เจอ (Undetectable)”
นักวิจัยติดตามคู่ของผู้ติดเชื้อ (ฝ่ายที่ไม่ติดเชื้อ) ทุก 1-2 เดือน โดยให้บันทึกความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ การใส่หรือไม่ใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ในแต่ละครั้ง ซึ่งทุกคนได้รับข้อมูลอย่างดี พร้อมกับได้รับแจกถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่น อีกทั้งสามารถขอรับ Pre-exposure prophylaxis (PrEP) และ Post-exposure prophylaxis (PEP) หากมีความต้องการ มีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีและซิฟิลิส และการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เป็นระยะ ๆ จากการติดตามคู่ที่มีผลเลือดต่างดังกล่าวประมาณ 2,000 คู่ (ระยะเวลาในการติดตามแต่ละคู่ โดยเฉลี่ยประมาณปีครึ่ง) “ไม่ปรากฎว่ามีใครติดเชื้อเอชไอวีจากคู่ของเขาเลย” ทั้ง ๆ ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยมากถึง 130,000 ครั้ง (เฉลี่ยปีละ 43 ครั้งต่อคน) แสดงว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัสจนตรวจไม่พบเชื้อในเลือดแล้ว (Undetectable) จะไม่ถ่ายทอดหรือแพร่เชื้อให้ผู้อื่น (Untransmittable) แม้จะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยก็ตาม กล่าวคือ U = U หรือ ไม่เจอ = ไม่แพร่
จากการศึกษาพบว่า ประมาณร้อยละ 40 ของคนที่ไม่ติดเอชไอวีเชื้อในโครงการ ได้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยกับคนอื่นนอกคู่ กลุ่มคนเหล่านี้ได้ติดเชื้อเอชไอวี 15 ราย ซึ่งทุกรายพิสูจน์ได้ว่าเป็นเชื้อคนละตัวกับคู่ของตัวเองที่ติดเชื้อ ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า “การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่กินยาต้านไวรัสจนตรวจไม่เจอเชื้อในเลือดแล้ว ปลอดภัยกว่าการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยกับคนที่ไม่รู้สถานะการติดเชื้อ (ไม่เคยตรวจเลือด) หรือกับคนที่เคยตรวจแล้วว่าไม่ติดเชื้อแต่นานเกิน 3-6 เดือนไปแล้ว ซึ่งอาจติดเชื้อขึ้นมาแล้วก็ได้”
ข้อมูลเชิงประจักษ์เรื่อง U = U มีการศึกษามาก่อนนั้นหลายปี พบว่าการเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเร็วจะสามารถป้องกันคู่นอนของเขาไม่ให้ติดเชื้อเอชไอวีได้ถึง 96% ที่รู้จักกันในชื่อว่า “Treatment as Prevention” โดยอีก 4% ที่ยังติดเชื้อเอชไอวีอยู่นั้นเป็นเพราะกินยาต้านไวรัสยังไม่ถึง 6 เดือน ซึ่งถือว่ายังไม่ถึงระดับ undetectable และหากดูเฉพาะคู่ของคนที่ undetectable ก็จะป้องกันได้ 100% เช่นกัน ดังนั้น U = U จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยังไม่มีใครแย้งได้ ส่วนจะมีวิธีการตรวจสอบผู้ติดเชื้อว่าอยู่ในภาวะ Undetectable ได้อย่างไรนั้น หากจะดูเพียงรูปลักษณ์ภายนอกคงบอกไม่ได้ นอกจากการตรวจวัดระดับปริมาณไวรัสในเลือดที่ผู้ติดเชื้อทุกคนมีสิทธิ์ตรวจได้ปีละครั้ง หรือมากกว่านั้นถ้ามีประวัติกินยาไม่ต่อเนื่อง หรือในปีแรกที่กินยาตรวจได้ 2 ครั้งคือ หลังกินยา 6 เดือนและ 12 เดือน ดังนั้น ผู้ที่สามารถทราบผลเลือดได้คือ แพทย์ผู้รักษาและตัวคนไข้เอง คนอื่นอยากจะรู้ก็ต้องถามคนไข้ ส่วนคนไข้จะบอกความจริงหรือไม่ก็แล้วแต่ปัจจัยแวดล้อมว่ามีเหตุใดที่จะทำให้เขาไม่พูดความจริงหรือไม่ และคนที่รับข้อมูลก็ต้องไปชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือของข้อมูลเองเพื่อตัดสินใจกระทำการใด ๆ
การมีเพศสัมพันธ์แบบหลายคู่นอนของกลุ่มคน U = U มีความเสี่ยงหรือไม่อย่างไร
U = U เพียงแต่บอกว่า การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่กินยาต้านไวรัสจนตรวจไม่พบเชื้อในเลือดแล้ว ปลอดภัยจากการติดเชื้อเอชไอวี แต่ “U = U ไม่ได้บอกว่า สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยกับใครก็ได้”
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย เป็นการตกลงยินยอมพร้อมใจกันของคนทั้งสองคน บนพื้นฐานของข้อมูล ความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีอยู่ และความต้องการว่าจะป้องกันหรือไม่ป้องกันอะไร เช่น ป้องกันเอชไอวี ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ป้องกันการตั้งครรภ์ หรือป้องกันทั้ง 2 หรือ 3 อย่าง เพราะ U = U ป้องกันได้เฉพาะเอชไอวีเท่านั้น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย ต้องเป็นการตกลงพร้อมใจของทั้งคู่เท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว U = U ก็ไม่เกี่ยวเช่นกัน ถ้าคู่นอนของเขาเข้าใจและยินยอม ดังนั้น หากคนที่ undetectable แล้ว จะไปมีเพศสัมพันธ์กับหลายคู่นอน ไม่ว่าจะป้องกันหรือไม่ป้องกันก็ตาม ไม่เกี่ยวกับ U = U
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยในกลุ่มคน U = U
“U = U ไม่ได้แนะนำว่าหาก undetectable แล้วไม่ต้องใส่ถุงยางอนามัย” ถ้าจะไม่ใส่ถุงยางอนามัยกับคู่ตนเองเพราะเหตุจำเป็น เช่น ไม่มีถุงยาง ถุงยางแตก หรืออยากมีบุตรตามธรรมชาติ ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลหรือโทษตัวเอง ทำให้ผู้ติดเชื้อมีความมั่นใจและชีวิตครอบครัวมีความสุขมากขึ้น ส่วนการตัดสินใจว่าจะใส่หรือไม่ใส่ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์แต่ละครั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม และการยินยอมพร้อมใจกันของคนทั้ง 2 คน ว่าต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร เป็นกังวลเรื่องอะไร เช่น เป็นกังวลเรื่องตั้งครรภ์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เพราะ “การอยู่ในสถานะ undetectable ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ ถ้าไม่ใส่ถุงยางอนามัย” ดังนั้นข้อเท็จจริง (fact) ของ U = U จึงไม่ได้บ่งชี้ว่าไม่ต้องใส่ถุงยางอนามัย หรือพูดสั้น ๆ คือ “U equals to U but does not equal to condomless sex”
ประโยชน์ของ U = U
ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง U = U อย่างต่อเนื่อง พิจารณาเห็นว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษหรือข้อกังวล ทั้งต่อผู้ติดเชื้อและประชาชนทั่วไป โดยได้นำเรื่อง U = U หรือ ไม่เจอ=ไม่แพร่ มาเป็นคำขวัญในการรณรงค์วันเอดส์โลก เมื่อปี 2561 โดยสรุป U = U มีประโยชน์หลายด้านดังนี้
ผู้ติดเชื้อ : มีแรงจูงใจในการกินยาต่อเนื่อง หมั่นไปตรวจหาปริมาณไวรัสในเลือดทุกปีตามสิทธิ์ และทำให้รับรู้สถานะของตนว่า “ตรวจไม่เจอจริงหรือไม่” ส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่น มีครอบครัวได้ สุขภาพจิตดีขึ้น มีความมั่นใจตนเองมากขึ้น กล้าตัดสินใจเปิดเผยผลเลือดของตนให้คู่นอนทราบ กล้าชวนคู่ไปตรวจเอชไอวี กล้าตัดสินใจตั้งครรภ์ และเลิกโทษตัวเองว่าอาจเป็นเหตุทำให้คู่ของตนติดเชื้อ เพราะไม่สามารถใส่ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง รวมถึงลดความกลัวในการคุยกับหมอ เช่น หากหมอถามว่าใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งหรือเปล่า ก็ตอบว่าใส่ทุกครั้งเพราะเกรงใจหมอ ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตจริงทำไม่ได้ทุกครั้ง
ประชาชนทั่วไป : ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือผู้ที่ไม่เคยไปตรวจเลือดเลย กล้าที่จะไปตรวจและเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาในทันทีหากตรวจพบว่าติดเชื้อเอชไอวี นำไปสู่รักษาจนตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวี นอกจากจะไม่ป่วยแล้ว ยังสามารถมีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป
สังคม : เมื่อสังคมมีความเข้าใจเรื่อง U = U แล้ว อาจทำให้การรังเกียจและกีดกันผู้ติดลดลง สนับสนุนให้ผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษา ไม่มีเหตุผลในการห้ามไม่ให้เข้าทำงาน “เพราะผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการรักษาแล้ว ไม่เป็นอันตรายต่อคู่นอนของเขาแม้จะไม่ใส่ถุงยางอนามัยก็ตาม และไม่เป็นอันตรายต่อคนในที่ทำงาน” อีกทั้งคนไข้ที่ได้รับยาต้านไวรัส จะมีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุขัยเท่าคนอื่น ๆ ที่ไม่ติดเชื้อ สามารถทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้ไม่แตกต่างจากคนที่ไม่ติดเชื้อ และไม่เพิ่มภาระค่ารักษาพยาบาลให้กับองค์กร เพราะรัฐรับภาระการรักษาพยาบาลให้ผู้ติดเชื้อทุกคน ดังนั้น U = U น่าจะเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้สังคมเลิกมองเอชไอวีและโรคเอดส์เป็นโรคอันตราย เลิกตีตรา และเลิกรังเกียจผู้ติดเชื้อเสียที
U = U ไม่ได้สนับสนุนการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยกับใครก็ได้
(อ่านบทความเรื่อง ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ คลิก )