วัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็ก
ในการพัฒนาวัคซีนในทุก ๆ วัคซีน จะมีการทดลองในผู้ใหญ่ก่อน แล้วจึงค่อยทดลองในวัยรุ่น เด็กโต ไปจนถึงเด็กเล็ก โดยวิธีการทำงานของวัคซีนแต่ละชนิด ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก มีการทำงานที่ไม่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือปริมาณของวัคซีนในการฉีด ถึงแม้จะมีคำกล่าวว่า “เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก” แต่เนื่องจากสัดส่วนของร่างกายที่แตกต่างกัน ดังนั้นปริมาณของวัคซีนที่ใช้จึงแตกต่างกันด้วยเช่นกัน รวมถึงเด็กและผู้ใหญ่อาจมีการตอบสนองของวัคซีนที่แตกต่างกัน ทั้งในส่วนของการสร้างภูมิคุ้มกัน และผลข้างเคียงในการรับวัคซีน จึงเห็นได้ว่าการพัฒนาวัคซีนจึงจำเป็นต้องศึกษาทดลองในผู้ใหญ่ก่อน จากนั้นจึงศึกษาทดลองในเด็ก จึงจะสามารถหาปริมาณของวัคซีนที่เหมาะสมได้
ปริมาณการฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA
– ในผู้ใหญ่ (อายุเกิน 12 ปีขึ้นไป) 30 ไมโครกรัม
– ในเด็ก (อายุ 5-11 ปี) จะใช้ปริมาณ 10 ไมโครกรัม
การทำงานของวัคซีนระหว่างผู้ใหญ่หรือเด็กจะไม่แตกต่างกัน แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกัน เนื่องจากการตอบสนองที่แตกต่างกัน
ในเดือนมกราคม 2565 วัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งในระดับสากลและในไทย ที่สามารถใช้ในเด็กได้คือ ชนิด mRNA เพียงชนิดเดียว โดยวัคซีนจากบริษัทที่เหมาะสมที่สามารถใช้ในเด็กได้ คือ บริษัท Pfizer-BioNTech เนื่องจากมีผลการทดลองว่ามีผลข้างเคียงที่เกี่ยวกับอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA น้อยกว่าวัคซีน mRNA จากบริษัทอื่น จึงเป็นวัคซีนเพียงยี่ห้อเดียวที่แพทย์แนะนำให้ใช้ในเด็กได้ โดยต้องอยู่ในช่วงอายุ 5–11 ปี และต้องใช้ปริมาณเพียง 10 ไมโครกรัม เท่านั้น ปัจจุบันเริ่มมีการฉีดวัคซีนในกลุ่มคนอายุ 5–11 ปี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา และมีการคาดการณ์ว่าภายในปีนี้เด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี จะได้รับวัคซีนเช่นกัน แต่ต้องผ่านการศึกษาทดลองให้ได้ปริมาณวัคซีนที่เหมาะสมเสียก่อน
ความปลอดภัยของวัคซีน
วัคซีนทุกตัวเมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้วมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้เกือบทุกคน โดยอาการส่วนมากที่สามารถเกิดขึ้นได้มีทั้งแบบไม่รุนแรง และแบบรุนแรง สำหรับวัคซีนชนิด mRNA จากบริษัท Pfizer-BioNTech จากผลการศึกษาพบว่า ผลข้างเคียงแบบไม่รุนแรง ได้แก่
- อาการเฉพาะที่ เช่น เจ็บ บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีดวัคซีน เป็นต้น
- อาการตามร่างกาย เช่น มีไข้ ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น
อาการเหล่านี้ถือว่าเป็นอาการไม่รุณแรง สามารถรับประทานยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด-ลดไข้
ผลข้างเคียงแบบรุณแรง ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 1 ในล้านคนเท่านั้น โดยจะมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ หรือหัวใจโตขึ้น โดยอาการสามารถหายได้เอง หรือรับประทานยาแก้ปวดประมาณ 2-3 วัน อาการจะดีขึ้น มีเพียงส่วนน้อยมากที่มีการเสียชีวิต
ดังนั้น หากมองภาพรวมจะพบว่า โอกาสในการเกิดอันตรายจากการฉีดวัคซีนชนิด mRNA จากบริษัท Pfizer-BioNTech มีน้อยมาก ในปัจจุบันแพทย์แนะนำให้ทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีน จากที่ตอนแรกอาจแนะนำให้เฉพาะกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวเท่านั้น เพราะผู้ที่มีโรคประจำตัว อาทิ โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคปอด กลุ่มคนเหล่านี้หากติดโรคโควิด-19 อาจมีอาการรุณแรงกว่ากลุ่มอื่น และช่วงแรกที่ประเทศไทยได้รับวัคซีนมีปริมาณค่อนข้างจำกัดจึงจำเป็นต้องเลือกกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนก่อน แต่ปัจจุบันมีวัคซีนเพิ่มมากขึ้นจึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนในทุก ๆ กลุ่มอายุ ส่วนผู้ที่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีน คือ ผู้ที่มีอาการแพ้วัคซีนขั้นรุนแรง เช่น หน้าบวม ปากบวม ผื่นขึ้น หายใจไม่ออก ความดันตกจนต้องฉีดยากระตุ้นหัวใจ เป็นต้น อาจแก้ไขเป็นการเปลี่ยนชนิดของวัคซีน
ปัจจุบันโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานและการเรียน เราจึงต้องร่วมมือกันในการหยุดหรือยับยั้งไม่ให้เชื้อโควิด-19 สร้างความเสียหายไปมากกว่านี้ และสิ่งที่จะทำให้เราสามารถกลับไปใช้ชีวิตเกือบปกติ คือ การรับวัคซีน โดยเฉพาะในเด็ก เพราะเด็กควรได้ไปโรงเรียน ไปเจอสังคม และทุกคนควรออกมาดำรงชีวิตอย่างปกติ ดังนั้น การรับวัคซีนจึงเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประชาชนสมารถอยู่ร่วมกับโควิดได้ในอนาคต