ทั่วโลกร่วมยินดี ผลการวิจัยพบว่า ยาฉีดคาโบทิกราเวียร์ช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
ได้ผลดีในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสอง
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวแสดงความยินดีว่า “เมื่อได้ยินข่าวที่ประกาศทั่วโลกเมื่อวานนี้ (18 พ.ค. 63) ว่า การทดสอบประสิทธิผลของยาฉีดคาโบทิกราเวียร์ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ (PrEP) ที่ประเทศไทยได้ร่วมวิจัยกับอีกหลายประเทศทั่วโลก ได้ผลออกมาก่อนกำหนดถึง 2 ปี พบว่ายาฉีดที่ฉีด 2 เดือนครั้งนี้ ได้ผลในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้มากกว่ายาเพร็พแบบเม็ดที่ต้องกินทุกวัน และมีความปลอดภัยเท่าๆ กัน ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ผมต้องขอแสดงความยินดีกับคณะนักวิจัยไทยที่มาจากหลายสถาบันที่ทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาในการทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยเรามีอาสาสมัครชาวไทยที่ร่วมอยู่ในโครงการคิดเป็น 12% ของทั่วโลก และที่สำคัญคือ หน่วยพรีเวนชั่นของศูนย์วิจัยโรคเอดส์สามารถรับอาสาสมัครที่เป็นหญิงข้ามเพศได้มากถึง 1 ใน 5 ของอาสาสมัครที่เป็นหญิงข้ามเพศทั้งโครงการทั่วโลก ทำให้น่าจะมีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปได้ว่ายาฉีดนี้ก็ใช้ได้ผลดีกับหญิงข้ามเพศด้วย ไม่ต้องเสียเวลามาทดสอบอีกรอบหนึ่ง
นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณและชื่นชมอาสาสมัครทุกคนทั้งที่เป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและหญิงข้ามเพศ ที่อาจหาญเข้าร่วมโครงการและอยู่กับโครงการมาอย่างตลอดรอดฝั่ง ทุกท่านได้ชื่อว่าทำบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ให้กับมนุษยชาติในการพิสูจน์ให้เห็นว่ายาฉีดคาโบทิกราเวียร์เป็นยาตัวที่สองที่สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ แม้ว่าเกือบ 40 ปีแล้วเรายังไม่มีวัคซีนเอชไอวีใช้ แต่อย่างน้อยๆ เราก็มียาที่สามารถกินหรือฉีดป้องกันเอชไอวีได้ ซึ่งได้ผลเกือบ 100% เป็นทางเลือกหลายๆ ทางให้คนที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีให้เลือกใช้ได้ตามความสมัครใจ ตามวัย และตามสถานการณ์ซึ่งแต่ละคนแต่ละขณะไม่เหมือนกัน เช่น ถุงยางอนามัย ยาเพร็พแบบกิน หรือยาเพร็พแบบฉีด เป็นต้น
เราเคยได้ยินว่ายาเพร็พแบบกินได้ผลเกือบ 100% ตอนนี้มียาเพร็พแบบฉีด 2 เดือนครั้ง ได้ผลดียิ่งกว่าแบบกินเสียอีก ไม่ได้แปลว่า ตอนนี้ทุกคนที่กินเพร็พจะเปลี่ยนมาเป็นยาฉีดหมดแล้ว เพราะกว่ายาจะมีจำหน่ายคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง และราคาคงยังไม่ถูกเท่ายากินในระยะแรก แถมมีบางคนก็อาจกลัวเข็มด้วย บางคนอาจเสี่ยงนานๆ ครั้ง จึงอาจขอกินเพร็พแบบกินเมื่อต้องการ ไม่ต้องกินทุกวัน
เมื่อผลของการทดลองเป็นที่ประจักษ์แล้ว อาสาสมัครในโครงการทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ยาเพร็พแบบกิน หรือแบบฉีด ทุกคนจะได้รับยาเพร็พแบบที่ต้องการฟรีจนกว่าจะจบโครงการ ในฐานะของรัฐซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้เริ่มโครงการให้เพร็พแบบกินฟรีแก่คนไทยแล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ ก็ต้องมาพิจารณาและต่อรองกับบริษัทที่ผลิตยาเพร็พแบบฉีดว่าสามารถขายยาฉีดคาโบทิกราเวียร์ให้กับรัฐในราคาที่ใกล้เคียงกับยาเพร็พแบบกินได้หรือไม่ เพื่อที่จะบรรจุเข้าในชุดสิทธิประโยชน์สำหรับคนไทยทุกคน สำหรับเป็นทางเลือกในการป้องกันเอชไอวีอีกทางหนึ่ง”
ข้อมูลเพิ่มเติม
โครงการ HPTN 083 คืออะไร
โครงการ HPTN 083 คือ โครงการวิจัยทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีด้วยการฉีดยาเข้ากล้ามที่สามารถออกฤทธิ์ได้นานกว่าสองเดือน ภายใต้ชื่อ โครงการ HPTN 083 ได้ทำการศึกษาเพื่อตอบคำถามว่า การใช้ยาต้านไวรัสคาโบทิกราเวียร์ ชนิดฉีดเข้ากล้าม 1 ครั้งทุก 8 สัปดาห์ จะสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่เป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสอง ได้อย่างน้อยเท่ากับ วิธีการกินยาต้านไวรัส ทีดีเอฟ/เอฟทีซี (TDF/FTC) ซึ่งประกอบด้วยยาต้านไวรัสสองชนิด ได้แก่ ยาเอ็มทริซิทาบีนและยาทีโนโฟเวียร์ ไดโซพรอกซิล ฟูมาเรต วันละ 1 เม็ด หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า ยาต้านไวรัสป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ หรือเพร็พ (PrEP) หรือไม่ โครงการวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ภายใต้เครือข่ายการวิจัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (HIV Prevention Trial Network; HPTN) โดย มีอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 4,570 คน จากสถาบันการวิจัยชั้นนำกว่า 40 แห่งใน 7 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ไทย บราซิล เปรู เวียดนาม อาร์เจนตินา และแอฟริกาใต้ ซึ่งครอบคลุม 4 ทวีป
สำหรับประเทศไทย มีสถาบันวิจัยชั้นนำ 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย, คลินิกชุมชนสีลม @ทรอปเมด ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข และ คลินิกพิมาน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เข้าร่วมวิจัยในโครงการ HPTN 083 โดยได้รับอาสาสมัครชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและหญิงข้ามเพศเข้าร่วมโครงการรวม 553 ราย จากจำนวนทั้งหมด 4,570 ราย ซึ่งจะได้มีการแจ้งรายละเอียดและผลวิจัยให้ผู้ร่วมวิจัยต่อไป
ข้อมูลเบื้องต้นที่มีการแถลงเป็นข่าวดังไปทั่วโลกในวันที่ 18 พ.ค. 2563 พบว่า ยาฉีดคาโบทิกราเวียร์สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและหญิงข้ามเพศได้มากกว่า ยากินทีดีเอฟ/เอฟทีซี กว่า 3 เท่า หรือ 69% โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น พบผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในโครงการรวม 50 ราย โดยเป็นผู้ติดเชื้อฯในกลุ่มยากินทีดีเอฟ/เอฟทีซีจำนวน 38 ราย (คิดเป็นอุบัติการณ์การติดเชื้อใหม่ 1.21%) และพบผู้ติดเชื้อฯ ในกลุ่มฉีดยาคาโบทิกราเวียร์ จำนวน 12 ราย (คิดเป็นอุบัติการณ์ 0.38%)
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
- พญ. นิตยา ภานุภาค หัวหน้าทีมวิจัย ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย [email protected]
- ศ.นพ. สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ หัวหน้าทีมวิจัย คลินิกพิมาน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ [email protected]
- นพ. ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข [email protected]
- รายละเอียดผลการศึกษา https://bit.ly/2ZfQrDy